จำนวผู้เยี่ยมชม

วันจันทร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2555

ไอเดียแต่งหน้าเริ่ด ๆ งานนี้ขอเจิดสุด สำหรับสาวนักปาร์ตี้

 
สาว ๆ ที่ชอบตามแฟชั่นเกาะติดการเดินแบบของแบรนด์เสื้อผ้าต่าง ๆ คงจะได้เห็นเทรนด์การแต่งหน้าของเหล่านางแบบมาแล้วหลากหลาย ต้องยอมรับว่าส่วนใหญ่ก็ดูเว่อร์เกินจริงไปหน่อย แต่ก็มีหลายคนแอบคิดในใจว่า ถ้าเราจะนำมาประยุกต์แต่งในชีวิตจริงได้ไหมน้า... ?

          งานนี้ขอบอกเลยว่า... ได้ค่ะ!! คุณสามารถนำไอเดียดี ๆ เว่อร์ ๆ เหล่านั้นมาแต่งหน้าเก๋ ๆ ให้ตัวเองได้ โดยเน้นใช้ในโอกาสพิเศษอย่างงานแฟนซี งานเลี้ยงสังสรรค์ยามค่ำคืน หรืองานปาร์ตี้ที่ต้องการเสริมลุคให้ดูเปรี้ยวซ่า สวยมั่น เจิด ๆ เชิ่ด ๆ และวันนี้กระปุกดอทคอมมีมาแนะนำด้วยกัน 3 แบบจ้า... ถ้าพร้อมแล้วก็ไปดูเลย...

       EYE EXOTICA

          แต่งตาแบบเริ่ด ๆ แนว ๆ ด้วยการใช้อายแชโดว์สีสดที่ไม่ค่อยเห็นใครใช้ เช่น สีโคบอลท์บลู สีเขียวปีกแมลงทับ หรือสีจี๊ด ๆ แบบสีนีออน มาทาตา หรือจะเปลี่ยนมันเป็นอายไลน์เนอร์สุดเปรี้ยวด้วยการใช้แปรงทาตาแตะน้ำแล้ว ซับให้หมาด ปาดอายแชโดว์แล้วนำมาเขียนขอบตาก็ได้ ยิ่งเขียนตวัดหางเปรี้ยว ๆ แบบแคทอาย ก็ยิ่งได้ลุคเก๋นะจะบอกให้ 

   SMOKE HAZARD

          เปลี่ยนดวงตาสวยดุแบบสโมคกี้อายให้เฉี่ยวขึ้นอีกระดับ ด้วยการเขียนขอบตาล่างด้วยสีนัว ๆ อย่างสีขาวควันบุหรี่ อาจไฮไลท์หัวตาด้วยสีทองเพื่อเพิ่มความหรูหราอีกนิด และทีเด็ดอยู่ที่การใช้อายแชโดว์สีสด ๆ ที่ชอบ เช่น สีเขียว สีม่วง สีน้ำเงิน ฯลฯ มาปาดทับที่เปลือกตาสโมคกี้อายอีกที ลุคนี้เลอะบ้างเปรอะบ้างไม่เป็นไร เพราะดูเลือน ๆ เบลอ ๆ หน่อยนั่นล่ะถึงจะเพอร์เฟคท์

  FLASH SOME LASH

          ไม่ว่าจะเมื่อไหร่ขนตาเด้ง ๆ ก็ทำให้ดวงตาของคุณโดดเด่นได้เสมอ ซีซั่นนี้ก็ดูเฉิดฉายกว่าใครด้วยการใข้มาสคาร่าสีแฟชั่น อย่างสีม่วง สีน้ำเงิน สีแดง ฯลฯ แต่อย่าลืมแต่งหน้าให้นู้ดเข้าไว้ จะได้ไม่ขโมยซีนกันนะจ๊ะ

วันอังคารที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2555

หุ่นแบบไหนก็ใส่ชุดว่ายน้ำให้สวยได้


ชุดว่ายน้ำสำหรับสาวอกใหญ่  ใครว่าหน้าอกใหญ่ไม่ใช่ปัญหา...เวลาเลือกชุดว่ายน้ำนี่ก็เครียดไม่น้อยกว่าสาวอกไข่ดาวเลยล่ะ
เพราะอยากใส่บิกินี่จิ๋วๆ น่ารักๆ อันนี้คงยากนิดนึง เพราะคงจะไม่เพียงพอจะเก็บได้หมดแน่ๆ
ห้ามเด็ดขาด เกาะอก บิกินี่สายสปาเก็ตตี้ ถ้าไม่อยากโป๊อ่ะนะ
ลองนี่สิ ชุดว่ายน้ำแบบคล้องคอ มีแบบเก๋ๆให้เลือกเพียบ ใครจะเลือกแบบ 2 piece เน้นชุดที่มียางยืดใต้หน้าอกหนาๆนิดนึงนะคะ

หรือจะเป็นแบบมีโครงก็จะช่วยเก็บทรงให้ดูดีขึ้นด้วยนะ
ชุดว่ายน้ำสำหรับสาวหุ่นตรงใส่ชุดว่ายน้ำให้สวยก็ต้องเห็นส่วนเว้าส่วนโค้ง แต่สาวๆที่หุ่นตรงๆคงแอบเครียดไม่น้อย
เพราะยิ่งรัดรูปก็ยิ่งเห็นชัดถึงการเป็นไม้บรรทัดของเรา - -“
ห้ามเด็ดขาด ชุดว่ายน้ำแบบชิ้นเดียว หรือทูพีซแบบกางเกง ยิ่งเน้นจุดด้อยเราให้ชัดไปกันใหญ่
ลองนี่สิ คิดถึงชุดว่ายน้ำเด็กๆ จะได้ไอเดียอีกเพียบ อย่าง 2 piece ที่มีจีบระบายในท่อนล่าง ที่จะช่วยเพิ่มสะโพกให้คุณ

ดูมีส่วนเว้ามากขึ้น แถมดูน่ารักขึ้นด้วยย หรืออยากเพิ่มสีสันก็ลองแบบลายขวาง ที่ช่วยทำให้ดูมีเอวมากขึ้นค่ะ
ชุดว่ายน้ำสำหรับสาวตุ้ยนุ้ยถึงชุดว่ายน้ำส่วนใหญ่จะไม่ได้ออกแบบมาเพื่อสาวอวบ แต่เราก็สามารถเลือกใส่ให้ดูดีได้
และก่อนอื่นเราต้องขจัดความคิดที่ว่า “สาวอวบจะใส่ชุดว่ายน้ำไม่ได้” ทิ้งซะก่อน

ห้ามเด็ดขาด ชุดว่ายน้ำลายขวางจีบระบาย และชุดสีหวานๆ ถึงจะน่ารักแต่ทำให้คุณอวบขึ้นอีก
ลองนี่สิ พอมั่นใจแล้ว ก็เลือกชุดทูพีชที่เหมือนเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น ก็เก๋นะคะเอาแบบให้โชว์สะดือเล็กน้อย หรือคอวีลึกๆ

ก็จะช่วยเบนความสนใจของหุ่นเราได้ค่ะ แบบที่มีดีเทลระดับใต้อก ช่วยปิดพุงได้ดีเลยล่ะ
ชุดว่ายน้ำสำหรับสาวต้นขาใหญ่ถือเป็นเฉพาะส่วนที่สาวๆหลายคนกังวลมากๆ เพราะชุดปกติสามารถพรางตาได้ง่าย
แต่พอเป็นชุดว่ายน้ำแล้วเริ่มเหงื่อตกขึ้นมาทันที มาลองดูวิธีกัน
ห้ามเด็ดขาด ปิดท่อนล่างจนเกินเหตุ บางทีการที่เราตั้งใจปกปิดมากไปก็ทำให้มันเด่นมากขึ้นนะ
ลองนี่สิ เลือกชิ้นบนให้มีลูกเล่น หรือสีสันฉูดฉาดมากๆ เพื่อดึงความสนใจ แล้วเลือกชิ้นล่างเป็นกระโปรงที่ไม่พองจนเกินไป หรือแบบกางเกงขาสั้นที่ช่วยให้คุณใส่ได้มั่นใจ

ใครปากเหม็น อ่านตรงนี้


เคยไหม...ที่เมื่อคุณยื่นหน้าไปพูดใกล้ๆ กับใครแล้วเขาก็เบือนหน้าหนี "กลิ่นปาก" ของคุณคือตัวการใหญ่ที่ทำให้เกิดเหตุการณ์ดังกล่าว แน่นอน...ไม่มีใครอยากถูกล้อว่าปากเหม็น แต่ที่แน่นอนกว่าก็คือ กลิ่นปากไม่ใช่สิ่งที่จะซ่อนเร้นเอาไว้ได้ง่ายๆ เพราะยังไง มันก็โชยออกมาได้โดยไม่ยาก ครั้นจะนั่งเงียบปิดปากตลอดทั้งวัน ก็ไม่ช่วย แถมทำให้เหม็นหนักขึ้น




แต่อย่าเพิ่งกังวลไปค่ะ ถ้าเราเข้าใจสาเหตุของการเกิดกลิ่นและวิธีระงับหรือขจัดกลิ่นอันไม่พึงประสงค์ในปากได้แล้ว ปัญหาที่น่าวิตกนี้ก็จะหายไปเอง โดยเบื้องต้น ต้องเข้าใจเสียก่อนค่ะว่า สาเหตุของการเกิดกลิ่นปาก มี 2 สาเหตุใหญ่ๆ คือ สาเหตุภายในช่องปาก กับสาเหตุภายนอกช่องปาก


A : สาเหตุภายในช่องปาก ส่วนใหญ่เกิดจาก


1. การไม่รักษาสุขภาพช่องปากให้ดี


เช่น แปรงฟันไม่สะอาด มีคราบอาหารหรือคราบแบคทีเรียเกาะอยู่ตามผิวฟัน ลิ้น หรือกระพุ้งแก้ม ก็ทำให้มีกลิ่นปากได้ ถ้ามีเศษอาหารติดตามซอกฟัน ต้องกำจัดออกโดยใช้ไหมขัดฟัน ซึ่งควรฝึกใช้ให้เป็นนิสัยอย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง


2. การมีฟันผุ


ทำให้เศษอาหารติดค้างอยู่ในรูฟันที่ผุ อาหารเหล่านี้จะบูดเน่าและทำให้เกิดกลิ่น หรือผู้ที่มีฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน มีหนองที่ปลายรากฟัน หนองพวกนี้จะมีกลิ่นมาก การแก้ไขคือ อุดฟันซี่ที่มีการผุนั้น ถ้าผุทะลุโพรงประสาทแล้ว ก็ต้องรักษารากฟัน ถ้าผุมากจนไม่สามารถเก็บฟันไว้และรักษาให้ดีเหมือนเดิม ก็จะต้องถอนออก แล้วใส่ฟันปลอม


3. โรคเหงือกอักเสบและโรคปริทันต์


เหงือกอักเสบเนื่องจากมีหินปูน มีการสะสมของเศษอาหาร มีการทำลายอวัยวะรอบรากฟัน เหงือกอ้าออกจากตัวฟัน เศษอาหารเข้าไปสะสมได้ง่ายขึ้น และแปรงออกได้ไม่หมด นานๆ ไปจึงส่งกลิ่นออกมา การแก้ไขคือต้องกำจัดหินปูนออกให้หมด โดยให้ทันตแพทย์ขูดออก ในรายที่เหงือกอ้าออกมาก และมีหินปูนเข้าไปสะสมอยู่มาก อาจต้องผ่าตัดเปิดเหงือกออกเพื่อกำจัดหินปูนให้หมด แล้วจึงปิดเหงือกกลับเข้าไปตามเดิม


สำหรับยาสีฟันที่โฆษณาว่ากำจัดหินปูนได้นั้น ที่จริงเพียงแต่ไม่ทำให้เกิดการสะสมของหินปูนใหม่ แต่ถ้ามีหินปูนอยู่แล้ว จะกำจัดออกได้วิธีเดียวคือให้ทันตแพทย์ขูดออก สำหรับผู้ที่เป็นและเคยรักษาโรคปริทันต์มาแล้ว การแปรงฟันเพียงอย่างเดียวไม่สามารถกำจัดคราบแบคทีเรียหรือคราบอาหารออกได้หมด ต้องใช้เครื่องมือทำความสะอาดเพิ่ม เช่น ไหมขัดฟัน แผ่นเทปรัดฟัน แปรงซอกฟัน เป็นต้น


4. แผลในช่องปาก ก็ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ เมื่อแผลหาย กลิ่นปากก็จะลดลง


นอกจากนี้กลิ่นปากอาจเกิดขึ้นได้ภายหลังการถอนฟัน หรือผ่าตัดในช่องปาก เนื่องจากขณะมีแผลในปาก ผู้ป่วยมักจะใช้ฟันบดเคี้ยวอาหารได้ไม่ถนัด การรับประทานอาหารอ่อนทำให้มีอาหารติดฟันได้ง่ายและมากขึ้น แผลที่มีเลือดไหลซึม จะเป็นอาหารอย่างดีของเชื้อโรคในช่องปาก ทำให้เกิดการบูดเน่าของอาหารและเลือดมีกลิ่นเหม็นได้


การแก้ไขคือ ขณะมีแผลในปาก ไม่ควรละเลยการทำความสะอาดช่องปาก หลังรับประทานอาหารควรแปรงฟันทันที โดยใช้แปรงปัดเบาๆ เพื่อไม่ให้คราบอาหารเกาะฟันนาน จะแปรงออกได้ง่ายกว่า ถ้าอ้าปากหรือแปรงฟันไม่ได้ ให้บ้วนปากด้วยน้ำเกลืออุ่นๆ ทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร ใช้ผ้าสะอาดชุบน้ำอุ่นพันนิ้วเช็ดฟัน เมื่อแผลหายและแปรงฟันหรือรับประทานอาหารได้ตามปกติแล้ว กลิ่นปากก็จะหายไป


5. ผู้ที่ใส่ฟันปลอมหรือใส่เครื่องมือต่างๆ ในปาก


เช่น เครื่องมือจัดฟัน เครื่องมือกันฟันล้มเก หรือเฝือกสบฟัน เป็นต้น เครื่องมือเหล่านี้ ถ้ารักษาความสะอาดไม่ดีจะทำให้มีกลิ่นได้ โดยเฉพาะเครื่องมือที่ทำด้วยอะคริลิกหรือมีส่วนของอะคริลิกอยู่ด้วย เนื้ออะคริลิกจะมีรูพรุน จะดูดซึมของเหลวต่างๆ ได้ ถ้าล้างไม่สะอาด อาหารก็จะบูดเน่าติดอยู่กับเครื่องมือ ทำให้มีกลิ่นได้ ดังนั้นควรทำความสะอาดเครื่องมือทุกครั้งหลังจากถอดแล้ว และถ้ายังไม่ใส่ต่อควรแช่ไว้ในน้ำสะอาด และก่อนใส่ควรทำความสะอาดอีกครั้ง ฟันปลอมที่ใส่มานานแล้ว ถ้ามีคราบหรือหินปูนเกาะ อาจใช้น้ำยาสำหรับแช่ฟันปลอมโดยเฉพาะ แช่ได้เป็นครั้งคราว

6. ลิ้นที่เป็นฝ้า


เนื่องจากมีการสะสมของเศษอาหารและแบคทีเรียบนผิวด้านบนของลิ้น ก็เป็นสาเหตุของกลิ่นปากได้ เราสามารถใช้แปรงสีฟันแปรงลิ้นขณะแปรงฟัน หรือใช้ผ้า ไหมขัดฟัน หรือไม้ขูดลิ้น ขูดออก นอกจากนี้การรับประทานอาหารที่มีกากก็ช่วยขัดถูลิ้นได้ เช่น อ้อย สับปะรด


7. น้ำลาย


ก็มีส่วนทำให้เกิดกลิ่นปากได้ ถ้ามีน้ำลายน้อย ชำระล้างเศษอาหารได้ไม่หมด ก็จะทำให้มีกลิ่นปากได้ ตอนตื่นนอนจึงมักจะมีกลิ่นปาก เพราะขณะหลับมีการไหลเวียนของน้ำลายน้อย ผู้ที่มีน้ำลายข้นเหนียว ก็จะชำระล้างเศษอาหารได้ไม่ดีเท่าผู้ที่มีน้ำลายใส ดังนั้นถ้ารู้สึกว่าปากแห้งคอแห้ง ควรดื่มน้ำบ่อยๆ


B : สำหรับ สาเหตุภายนอกช่องปาก จะเกี่ยวข้องกับระบบต่างๆ ของร่างกาย เช่น


1. โรคระบบทางเดินหายใจส่วนบน


เริ่มตั้งแต่จมูก คอ จนถึงหลอดลม เช่น โรคโพรงจมูกอักเสบหรือที่เรียกว่า ไซนัสอักเสบ เกิดจากมีของเหลวหรือหนองอยู่ในโพรงอากาศของกระดูกใบหน้า ซึ่งมีหลายโพรง การอักเสบจนมีหนองนี้ จะทำให้มีกลิ่นออกมาทางจมูกขณะหายใจ และทางปากขณะพูด ดังนั้นจึงไม่ควรปล่อยให้ตัวเองเป็นหวัดบ่อยๆ หรือเป็นนานๆ


2. มะเร็งที่โพรงจมูก


จะมีกลิ่นเหม็นมาก และจะมีหนองไหลออกจากจมูกลงไปในคอ เวลาก้มศีรษะ ซึ่งจะต้องปรึกษาแพทย์


3. ทอนซิลอักเสบ


ผู้ที่เจ็บคอขณะที่มีการอักเสบในลำคอหรือต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรัง ก็จะมีกลิ่นปากได้ และจะหายไปได้เมื่อคอหายอักเสบ


4. โรคระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง


คือ ปอด ผู้ที่เป็นโรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งที่ปอด จะมีกลิ่นออกมากับลมหายใจและลมปากได้ ผู้ที่สูบบุหรี่นานๆ ก็ทำให้ลมหายใจและลมปากมีกลิ่นได้เช่นกัน


5. ระบบย่อยอาหาร


เริ่มตั้งแต่ปาก หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร ลำไส้ ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะอาหาร มีแผลในกระเพาะอาหาร หรือมีหนอง อาจมีกลิ่นออกมาขณะพูดหรือเรอได้ ผู้ที่ระบบย่อยอาหารไม่ดี ท้องอืด ท้องเฟ้อ อาหารไม่ย่อยเป็นประจำ เมื่อมีลมออกจากกระเพาะ ก็จะมีกลิ่นเหมือนอาหารบูดตามออกมาด้วย รวมทั้งผู้ที่ระบบขับถ่ายไม่ดี ท้องผูกบ่อยๆ เมื่อมีลมดันขึ้นหรือเรอ ก็จะทำให้ปากมีกลิ่นได้เช่นกัน


นอกจากนี้กลิ่นปากยังเกิดได้จากการที่สารมีกลิ่นถูกดูดซึมเข้าทางกระแสโลหิต และถูกขับถ่ายออกทางลมหายใจ เหงื่อ น้ำลาย หรือทางปัสสาวะ สารที่ถูกดูดซึมเข้าไปนี้อาจมาจากอาหาร เครื่องดื่ม ยา หรือมีการสะสมของสารที่ผิดปกติในเลือด


6. การรับประทานอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น


เช่น กระเทียม หัวหอม เครื่องเทศ สะตอ จะทำให้มีกลิ่นปากได้ แต่เมื่อถูกย่อย ดูดซึม และขับถ่ายออกหมด กลิ่นก็จะหายไป แต่ถ้ารับประทานอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้มีกลิ่นปากอย่างต่อเนื่องได้ด้วย


7. เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ทุกชนิด


เช่น เหล้า เบียร์ ก็ทำให้มีกลิ่นปาก ยาบางชนิดก็อาจทำให้เกิดกลิ่นได้ เช่น ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยพิษสุราเรื้อรัง ยาที่ใช้รักษาผู้ป่วยโรคจิตบางตัว ก็ทำให้มีกลิ่นได้


การใช้น้ำยาบ้วนปากเพื่อดับกลิ่นปาก ควรเลือกใช้ให้เหมาะสม น้ำยาบ้วนปากที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรค มักใช้เมื่อมีอาการอักเสบ ติดเชื้อ หรือมีแผลในช่องปากหรือลำคอเท่านั้น ไม่ควรใช้เป็นประจำโดยไม่ได้กำจัดสาเหตุที่ทำให้เกิดกลิ่นปากนั้นออกไป เช่น โรคเหงือกอักเสบ ฟันผุ หรือรากฟันเป็นหนอง ถ้าไม่แก้ไขที่ต้นเหตุ กลิ่นปากก็จะไม่มีวันหมดไปได้


เหตุผลที่ไม่แนะนำให้ใช้น้ำยาบ้วนปากที่ผสมน้ำยาฆ่าเชื้อโรคอย่างต่อเนื่อง เพราะยาจะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียที่อยู่ตามปกติในช่องปากให้หมดไป จะทำให้ติดเชื้อราได้ง่าย และถ้าเป็นเชื้อราแล้ว จะรักษาค่อนข้างยากและหายช้า สำหรับน้ำยาบ้วนปากที่ผสมฟลูออไรด์ ซึ่งทันตแพทย์แนะนำให้อมบ้วนปาก เพื่อป้องกันฟันผุ สามารถใช้ได้ โดยเลือกชนิดที่ไม่มีน้ำยาฆ่าเชื้อโรคผสมอยู่


ถ้าเป็นกลิ่นปากที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราวหลังรับประทานอาหารที่มีกลิ่นแรง ให้เคี้ยวใบสะระแหน่ ผักชีฝรั่ง หรือกานพลูหลังมื้ออาหาร หรือสะดวกกว่านั้นก็คือ เคี้ยวหมากฝรั่งชนิดไม่มีน้ำตาลหลังมื้ออาหารค่ะ


9 เคล็ดลับลดกลิ่นปาก


1. ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำมากๆ ช่วยล้างแบคทีเรียออกจากน้ำลาย
2. อย่าปล่อยให้ปากแห้ง เพราะจะทำให้ความเข้มข้นของแบคทีเรียในปากเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดกลิ่นปากได้ง่าย
3. ดื่มน้ำมะนาว จะช่วยเพิ่มปริมาณน้ำลาย
4. หลีกเลี่ยงการดื่มกาแฟ เพราะจะทำให้เกิดกลิ่นปากได้
5. แปรงฟันทุกครั้งหลังมื้ออาหาร และอย่าลืมแปรงด้านบนของลิ้นด้วย
6. ถ้าไม่สะดวกจะแปรงฟัน ให้บ้วนปากด้วยน้ำเปล่า และหากแปรงเสียให้เปลี่ยนแปรง
7. ใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 1 ครั้ง
8. เลิกสูบบุหรี่
9. ตรวจสุขภาพฟันอย่างสม่ำเสมอ

แต่งหน้าง่ายๆสไตล์"เต้ย"

เอาใจสาวๆที่ชอบเค้ก

เอาใจสาวๆแนววินเทจ



สำหรับ "วินเทจ" ความหมายในแง่แฟชั่นจะหมายถึง "ของเก่า" หรือ "ของที่ทำให้ดูเก่า" ที่เราเห็นกันอยู่บ่อย ๆ ก็จะเป็นพวกของมือสอง หรือถ้าจะให้เป็นวินเทจแบบของแท้แน่นอนก็จะต้องเป็นสมบัติของพ่อแม่(หรือแม้แต่ของเพื่อน 555+) ที่เรานำกลับมาใช้ มาใส่ใหม่ได้เรื่อยๆตามช่วงเทรนด์ในแต่ละยุค บางคนก็ไม่สนใจยุค เป็นความชอบส่วนบุคคล
ลองนึกถึงภาพของหญิงสาวในยุค 60's ดู... สาว ๆ สมัยนั้นเค้าใส่เดรสสั้นทรงเอไลน์ มีปกเสื้อใหญ่ ๆ อาจจะมีคอร์เซ็ต(เข็มขัดเส้นใหญ่ ๆ)คาดด้วยก็ได้ นี่เป็นแค่ตัวอย่างเดียว ยังมีเสื้อผ้าสไตล์วินเทจแพทเทรินเก๋ ๆ อีกมากมายให้เราเลือกใส่กัน

แต่เดี๋ยวนี้ส่วนใหญ่เสื้อผ้า ข้าวของ เครื่องประดับที่เราเห็นที่เค้าบอกว่าสไตล์วินเทจ มักจะเป็น "เฟควินเทจ" หรือจะพูดง่าย ๆ ก็คือทำแพทเทรินสไตล์เก่า แต่ผ้าใหม่เท่านั้นเอง
ไม่ว่าจะเป็น "วินเทจ" หรือ "เฟควินเทจ" ก็มีเสน่ห์ไปคนละแบบเหมือนกัน แต่อย่างนึงที่มีเหมือนกันคือ "ความเรียบง่าย" ที่ดูทีไรก็ไม่เบื่อซักที แถมแฟชั่นนี้ยังตอบรับกระแสอนุรักษ์ทรัพยากรโลกด้วย(ก็เราไม่ต้องซื้อใหม่ไงคะ เอาของคุณยายคุณแม่มาใช้บ้าง ของเพื่อนบ้าง เห็นไหมละค่ะ ไม่ต้องเสียเงินซื้อใหม่ แล้วยังไม่ต้องใช้ทรัพยากรธรรมชาตในการผลิตเสื้อผ้าอีกด้วย) นอกจากนี้เรายังสามารถส่วมใส่ได้หลายโอกาส ไม่ว่าจะเป็นในวันธรรมดา หรือวันที่เราต้องออกงานในโอกาสพิเศษ

ส่วนเรื่องเครื่องประดับที่จะมามิกซ์แอนด์แมตช์กับเสื้อผ้าสไตล์วินเทจ ก็จะเป็นพวกเครื่องประดับทองเหลืองทั้งหลายซึ่งเดี๋ยวนี้ก็มีทั้งที่เป็นทองเหลืองแท้ ๆ (ซึ่งก็จะมีราคาสูงซักหน่อย) และที่เป็นทองเหลืองที่ชุบขึ้นมาใหม่ และกระเป๋าก็สไตล์กระเป๋าหนังทั้งแบบสะพายเฉียงและสะพายข้าง
ในวันธรรมดาสาว ๆ อาจจะเลือกใส่เชิร์ตตัวโคร่ง พับแขน คู่กับยีนส์ขาเดฟหรือเลกกิ้ง แล้วก็คาดเข็มขัด หรือคอร์เซ็ต ซักเส้นทับเสื้อเชิร์ต และเพิ่มความโมเดิร์นแบบเท่ห์ ๆ ด้วยแว่นเรย์แบรนกับรองเท้าผ้าใบหรือคัชชูหนังส้นเตี้ย แค่นี้ก็ออกไปข้างนอกได้แบบชิลล์ ๆ แล้ว

และเมื่อเราจะต้องออกงาน เราก็สามารถเลือกใส่เดรส(จะเป็นเดรสยาวหรือสั้นก็ได้)ทรงเอก็สวยดีแต่ถ้าสาวคนไหนไม่ค่อยมั่นใจกับเดรสทรงเอ ลองใช้เข็มขัดเส้นเล็กๆ มาช่วยเน้นส่วน ให้ดูมีส่วนเว้าโค้งก็ได้ค่ะ หรือจะเลือกใส่กระโปรงเองสูงหรือกางเอง คู่กับเชิร์ตแขนยาวเข้ารูปก็ได้นะคะ เดี๋ยวนี้เค้ามีเสื้อเชิร์ตแบบเก๋ ๆ มีลูกเล่นที่คอเสื้อแปลก ๆ ให้เราเลือกมากมายเลยล่ะค่ะ เลือกใส่รองเท้าส้นสูง(จะเป็นส้นตันหรือส้นเข็ม)จะเหมาะมาก
เสื้อผ้าสไตล์นี้น่ะบางครั้งเราไม่ต้องเสียเงินซื้อก็ได้ค่ะ ลองไปเปิดตู้เสื้อผ้าคุณแม่ดู เราอาจจะได้เจอเสื้อผ้าเก๋ ๆ เยอะแยะเลยก็ได้ เห็นไหมล่ะสวยเก๋ ประหยัด แล้วยังอินเทรนด์ได้อีก

วิธีเก็บผมหางม้า

ข้อดีของการออกกำลังกาย




ทราบหรือไม่ว่าการออกำลังกายมีข้อดีอย่างไร วันนี้เรามีข้อดีของการออกกำลังกายมาบอก…

1. ช่วยชะลอความเสื่อมของสมอง

สมองก็เหมือนกับอวัยวะส่วนอื่น ๆ ที่มีการเสื่อมลงตามวัย แต่การออกกำลังกายช่วยชะลอความเสื่อมของสมองได้ ทำให้สามารถคิดและจดจำได้ดีกว่าคนที่ไม่ออกกำลังกายนอกจากนี้การออกกำลังเป็นประจำ ยังทำให้ดูกระฉับกระเฉง มีสมาธิในการเรียนรู้ได้ดีกว่า

2. ทำให้กระดูกแข็งแรงหนาขึ้น

การกินแคลเซียมเพียงอย่างเดียว ไม่ได้ช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้น ควรอออกกำลังกายควบคู่ไปกับการกินอาหารที่มีแคลเซียมสูง

3. ทำให้ผิวสวย

การออกกำลังกายจะช่วยนำออกซิเจนเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ของร่างกายได้มากขึ้น ยิ่งร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้นเพียงใด ก็จะยิ่งช่วยต่อต้านการเกิดอนุมูลอิสระได้มากขึ้นเท่านั้น จึงช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ได้ ทำให้ผิวพรรณสดใสขึ้น

4. ลดความเครียด

การออกกำลังกาย ช่วยลดความวิตกกังวล ผ่อนคลายความเครียดได้ เนื่องจากในระหว่างการออกกำลังกาย ร่างกายจะหลั่งสารเอนดอร์ฟินส์หรือสารแห่งความสุข ทำให้รู้สึกสดชื่นขึ้น นอกจากนี้การที่ร่างกายได้เคลื่อนไหว จิตใจก็ได้เคลื่อนไหวไปด้วย ทำให้ไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องที่กังวลอยู่ ส่วนการออกกำลังกายแต่ละชนิด มีผลต่อสมองต่างกันการออกกำลังกายชนิดที่เกี่ยวข้องกับการทำสมาธิ เช่น โยคะ หรือไทเก๊ก จะช่วยผ่อนคลายความเครียดในสมองได้มากกว่า การออกกำลังกายประเภทที่ต้องออกแรงมากๆ

5. ช่วยผ่อนคลายภาวะการปวดประจำเดือน

วิธีธรรมชาติที่ช่วยรักษาอาการปวดท้องเมนได้ดีที่สุด คือการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอไม่ว่าจะเป็นการวิ่ง ว่ายน้ำ หรือแอโรบิค ถ้าไม่มีเวลาก็ออกกำลังง่าย ๆ ด้วย การซิท-อัพตอนเช้าก็ได้ ยิ่งใกล้รอบเดือน ก็ยิ่งควรซิท-อัพไว้ล่วงหน้า เพราะจะช่วยให้เลือดไหลเวียนได้ดีขึ้นและช่วยให้กล้ามเนื้อบริเวณมดลูกมีความยืดหยุ่นทำงานได้ดีขึ้น

6. ลดอาการท้องผูก

การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการเดินเร็ว ๆ การวิ่งเหยาะ การว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน จะช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต ทำให้ระบบขับถ่ายได้ระบายของเสียและสารพิษออกจากร่างกาย
มากขึ้น

7. ทำให้หลับง่ายขึ้น

การออกกำลังกายในช่วงเย็น ช่วยให้หลับได้ง่ายขึ้น เนื่องจากการออกกำลังกายมีผลโดยตรงกับระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย

8. ทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง

การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้กล้ามเนื้อแต่ละส่วนแข็งแรง ทำให้หุ่นกระชับสมส่วน

วิธีม้วนผมหลากสไตล์ในเวลานิดเดียว

แต่งหน้าสาวไทยให้เป็นสาวเกาหลี

3 ทรงผมง่ายๆ ใน 5 นาที

หมู่เลือดA,B,O,ABกินอะไรให้สุขภาพดี



หมู่เลือด เอ กินอะไรสุขภาพดี?
หมู่เลือด เอ ค่อนข้างจะตรงข้ามกับโอ คือระบบย่อยอาหารจะทำงานไม่ค่อยดี แถมคนที่มีเลือดกลุ่มนี้ เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง เบาหวาน โรคหัวใจ ดังนั้น การรับประทานมังสวิรัติ คือคำตอบของคนกลุ่มนี้ครับ
อาหารที่มีโปรตีนสูงประเภทเนื้อ จะย่อยช้า ทำให้อึดอัด การได้รับผักสด ผลไม้ จะได้สารที่มีประโยชน์ และป้องกันมะเร็ง เนื่องจากการย่อยเนื้อสัตว์จะยาก แหล่งโปรตีนดีที่สุดที่จะมาทดแทนคือถั่ว แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากถั่ว อาจจะทำให้ลดการสร้างอินสุลิน ทำให้อ้วน ดังนั้น อาหารทดแทนโปรตีนที่ดีอีกตัวคือ เต้าหู้ครับ

อาหารประเภทนมก็จะย่อยยากในคนหมู่เลือด เอ แต่โยเกิร์ทและนมเปรี้ยวยังพอไหว เช่นเดียวกับหมู่เลือดโอ ที่คนหมู่เลือด เอ ก็ไม่ค่อยทนต่อ เลคติน ในอาหารประเภท มันฝรั่ง แยม มะเขือเทศ กระหล่ำปลี และพริกไทย และไม่ควรรับประทานผลไม้ที่เป็นกรด เช่น มะม่วง มะละกอ ส้ม

หมู่เลือด B กินอะไรสุขภาพดี
คนหมู่เลือดบี จะมีความทนต่อการเป็นโรคร้าย ๆ เช่นหัวใจ หรือมะเร็งได้ดี และถ้าสามารถรับประทานอาหารดี ๆ อายุจะยืนยาวได้ แต่ในขณะเดียวกัน คนในกลุ่มเลือดนี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคที่เกี่ยวกับภูมิคุ้มกัน เช่น เอสแอลอี โรคเกี่ยวกับระบบประสาทถูกทำลาย มัลติเปิล สเครอโรสิส multiple sclerosis และ chronic fatique syndrome
คนที่มีหมู่เลือดนี้ ควรรับประทานอาหารหลากหลาย แต่ให้เลี่ยง อาหารบางอย่างเช่น ข้าวโพด ถั่วลิสง งา และธัญพืชเนื่องจาก เล็กตินในอาหารเหล่านั้น จะทำให้เกิดความอ้วน เพลีย น้ำคั่งในตัวได้

ควรงดอาหารจากไก่ เนื่องจากไก่ มี agglutinating lectin ที่ทำให้เกิดการอุดตันหลอดเลือด หรือเกิดภาวะโรคอิมมูนได้ง่าย อาหารทะเลพวกปลาก็สามารถกินได้ดี แต่ให้เลี่ยงหอย เนื่องจากมีปัญหาจากเลคตินนี้เช่นกัน

คนที่มีเลือดกรุ๊ป บี เป็นกรุ๊ปเดียวที่สามารถดื่มนมและอาหารที่ทำจากนมได้ดี ไม่มีปัญหา

ระวังในพวกถั่วทั้งหลาย และงา เนื่องจากไปยับยั้งการทำงานของอินสุลินทำให้อ้วน เช่นเดียวกับมะเขือเทศ เพราะจะทำให้กระเพาะมีปัญหาได้ ส่วนผักผลไม้อื่นๆ รับประทานได้ไม่มีปัญหา

หมู่เลือด AB กินอะไรสุขภาพดี ?
หมู่เลือด AB เป็นหมู่เลือดที่มีลักษณะผสมระหว่าง A และ B นั่นหมายถึงคุณจะมีกรดในกระเพาะน้อยเหมือนกลุ่ม A และต้องการเนื้อเหมือนกลุ่ม B ข้อสำคัญคือ เนื่องจากกรดในกระเพาะน้อย การย่อยเนื้อสัตว์จะไม่ดี
ดังนั้น เนื้อที่เหมาะคือเนื้อที่ย่อยง่ายเช่น แกะ กระต่าย หรือไก่งวง โชคร้ายที่ เนื้อไก่ และเป็ด เป็นปัญหาเนื่องจากมี เลคตินที่เป็นอันตรายต่อระบบย่อยอาหาร
หมู่เลือด AB สามารถรับประทานนมได้ แต่ค่อนข้างไม่มาก ระวังท้องเสีย และสามารถรับประทานธัญพืชได้ดี
พวกหมู่เลือด AB มักจะมีภูมิไม่ค่อยดี การรับประทานผัก ผลไม้จะช่วยได้มาก มีคำแนะนำว่า ให้ดื่มน้ำอุ่นผสมมะนาวทุกเช้า

หมู่เลือด O กินอะไรสุขภาพจะดี?
ปกติ คนหมู่เลือดโอ มักจะมีความต้องการโปรตีน และต้องการการออกกำลังกายมาก ด้วยเหตุที่ว่า คนพวกนี้จะมีกระเพาะมีความเป็นกรดสูง จึงย่อยสลายโปรตีนได้มาก และกล้ามเนื้อเอง ก็มีความเป็นกรดค่อนข้างมาก
ความสำเร็จของคนในกลุ่มนี้ คืออาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันต่ำ และพบว่า มักไม่ถูกกับอาหารพวกนม เนย หรือธัญพืชเท่าไร มิหนำซ้ำ ถ้าเน้นพวกถั่ว ธัญพืช นม มากไป กลับทำให้ท้องอืด อ้วนออก และแก๊สมาก

ปัญหาที่พวกกลุ่มเลือดโอมักจะเผชิญและเกิดความอ้วน เนื่องจากสารที่เรียกว่า กลูเต็น(gluten) ในธัญพืช เป็นตัวบล๊อคการทำงานอินสุลิน และทำให้การเผาผลาญอาหารได้น้อย ยิ่งกว่านั้น สารเล็คติน ในอาหารพวกถั่ว จะยับยั้งประจุไฟฟ้าที่เป็นตัวขับเคลื่อนกล้ามเนื้อ ปัจจัยสุดท้ายคือ พวกกลุ่มเลือดโอ มักมีระดับธัยรอยด์ฮอร์โมนต่ำ โดยเฉพาะ ทำให้ควรหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่ยับยั้งธัยรอยด์เพิ่มมากขึ้นอีกคือ กระหล่ำ ผักกาด แต่ให้รับประทานอาหารทะเล และไอโอดีนมากๆ

กล่าวโดยสรุปคือ เน้นโปรตีนพวกปลา เนื้อไม่ติดมัน ระวังในอาหารพวกนม เนย และธัญพืช งดกาแฟ น้ำอัดลม ของที่ทำให้กรดในกระเพาะเพิ่ม และโดยเฉพาะ ลดพวกผักกระหล่ำ ผักกาด แต่เพิ่มอาหารทะเล ไอโอดีน

ข้อสรุปที่ว่า กลุ่มเลือดโอกรดมากนี้ มีหลักฐานทางการแพทย์ทางสถิติจริง เนื่องจากพบว่า คนหมู่เลือดโอ จะมีอุบัติการณ์เป็นโรคกระเพาะมากกว่าปกติ





รู้ไว้ใช่ว่า...ภาวะปัสสาวะเล็ดราดในสตรีวัยทอง




ปัญหาของสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือที่เรียกกันว่า "วัยทอง" มีหลายประการด้วยกัน หากไม่ได้รับการดูแลรักษาอย่างถูกวิธี อาจทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลงได้

ภาวะปัสสาวะเล็ดราดเป็นอีกปัญหาใหญ่ที่หนักอกหนักใจสำหรับสตรีหลาย ๆ คน เกี่ยวกับเรื่องนี้ รศ.นพ.สุวิทย์ บุณยะเวชชีวิน หน่วยเวชศาสตร์อุ้งเชิงกรานสตรีและการผ่าตัดสร้างเสริม ภาควิชาสูติศาสตร์ นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ให้ความรู้ว่า "ภาวะปัสสาวะเล็ดราด กลั้นไม่อยู่ ควบคุมไม่ได้ หรือที่เรียกว่าอาการช้ำรั่วนั้น เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในกลุ่มโรคระบบทางเดินปัสสาวะ มักพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยพบในผู้หญิง 25% ทั่วโลก ในต่างประเทศพบได้ประมาณร้อยละ 6 ของประชากร อาการดังกล่าวพบได้ในทุกกลุ่มอายุ ทั้งในเด็ก ผู้ใหญ่ และผู้สูงอายุ"

สำหรับประเทศไทยมีอุบัติการณ์ประมาณร้อยละ 20 ของผู้หญิงตั้งแต่วัยเจริญพันธุ์ถึงวัยหมดประจำเดือน ปัสสาวะเล็ดราดอาจจะเป็นแค่เพียงหยดซึมเป็นช่วง ๆ หรือตลอดเวลา หรือราดจนเปื้อนเสื้อผ้าภายใน โดยที่ผู้ป่วยไม่สามารถจะควบคุมหรือกลั้นเอาไว้ได้ บางท่านต้องใช้แผ่นรองซับปัสสาวะหรือสวมใส่ถุงเก็บปัสสาวะ สภาพดังกล่าวส่งผลทำให้คุณภาพชีวิตแย่ลง เสียสุขภาพพลานามัย ต้องเฝ้าระวังดูแลรักษาตนเอง รวมทั้งเสียสุขภาพจิตที่ไม่สามารถปฏิบัติภารกิจได้ตามความต้องการ

ทั้งนี้ ภาวะปัสสาวะเล็ดแบ่งออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ได้แก่

1.ไอ จามปัสสาวะเล็ด ภาวะนี้ สตรีจะมีปัสสาวะเวลามีความดันในช่องท้องเพิ่มขึ้นเช่นเวลาไอ จาม หรือออกกำลังกาย สาเหตุเนื่องมาจากกล้ามเนื้อหูรูดท่อปัสสาวะเสื่อม ไม่สามารถปิดเวลามีความดันในกระเพาะปัสสาวะเพิ่ม ส่วนใหญ่สืบเนื่องมาจากกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานหย่อนตัวลงจากการคลอดบุตร การผ่าตัดในอุ้งเชิงกราน หรือภาวะขาดฮอร์โมนในวัยทอง สำหรับอาการดังกล่าวนี้แพทย์จะสามารถตรวจภายในเพื่อพิจารณาความรุนแรงของอาการ

การรักษา ในกรณีที่เป็นไม่มากนัก อาจเริ่มด้วยการฝึกหัดบริหารกล้ามเนื้ออุ้งเชิงกรานด้วยวิธีที่ถูกต้องอย่างเคร่งครัด เป็นเวลาประมาณ 3 เดือน จะช่วยรักษาอาการที่ไม่รุนแรงมากนักให้หายขาดได้ การฝึกทำทุกวัน วันละ 20 นาที โดยสามารถไปปรึกษาแพทย์หรือพยาบาลตามโรงพยาบาลใกล้บ้านได้ การฝึกหัดดังกล่าวมีประโยชน์ในการป้องกันภาวะปัสสาวะเล็ดเวลาไอ จาม และเหมาะสมที่จะใช้กับสตรีทุกคนที่มีเพศสัมพันธ์แล้ว หรือภายหลังคลอดบุตร

ในกรณีที่เป็นมากอาจต้องใช้การผ่าตัดรักษา โดยการใช้สายเทปคล้องท่อปัสสาวะ ซึ่งมีแผลเล็ก สามารถผ่าตัดและกลับบ้านได้ในวันเดียว

2.กระเพาะปัสสาวะไวเกิน คือ อาการปวดปัสสาวะบ่อยในเวลากลางวันหรือกลางคืน ปวดแล้วต้องรีบเข้าห้องน้ำ หากไปไม่ทันอาจมีปัสสาวะราดได้ การรักษาภาวะนี้ทำได้โดยการใช้ยารับประทานและพฤติกรรมบำบัด รวมทั้งการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น การควบคุมน้ำหนัก ระวังอย่าให้ท้องผูก งดสูบบุหรี่ งดเครื่องดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม ที่ทำให้ปัสสาวะบ่อย

และ 3.กระเพาะปัสสาวะบีบตัวไม่ได้ดีจากโรคทางระบบประสาทหรือเบาหวาน หรือภาวะปัสสาวะคั่งค้างทำให้ปัสสาวะลำบาก ไม่สุด อาจมีปัสสาวะเล็ดหลังปัสสาวะหลังถ่ายเรียบร้อยแล้ว โดยปัสสาวะเล็ดราดมักพบในสตรีวัยหมดประจำเดือน หรือวัยทองที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหลังคลอดบุตรแล้ว การรักษาจะทำโดยการรักษาตามสาเหตุ หรือถ้าระบบประสาทเสียไป อาจต้องสวนปัสสาวะด้วยตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการคั่งของปัสสาวะ

นอกจากนั้น อาการปัสสาวะเล็ดราดของสตรีวัยทอง อาจมีปัญหาจากการอักเสบของกระเพาะปัสสาวะ ทำให้ปัสสาวะบ่อย ปวดแสบ เล็ดราด หรือขัดกะปริดกะปรอย เนื่องมาจากการอักเสบติดเชื้อ ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นหลังมีเพศสัมพันธ์ หรืออั้นปัสสาวะไว้มากจนเกินไป การอักเสบนี้รักษาและป้องกันได้โดยพยายามถ่ายปัสสาวะทิ้งทันทีเมื่อปวดปัสสาวะเต็มที่

ในรายที่ดื่มน้ำน้อย และมีโอกาสเสี่ยงต่อการอักเสบดังที่กล่าวข้างต้น ควรดื่มน้ำเพิ่มขึ้นเพื่อให้ปัสสาวะมากขึ้นในช่วงที่มีการอักเสบ หลีกเลี่ยงภาวะไอได้ ในรายที่มีปัสสาวะเล็ดเล็กน้อย หรืออยู่ในระหว่างรอการรักษา อาจใช้แผ่นซึมซับปัสสาวะช่วยลดความไม่สบายตัวในการดำเนินชีวิตประจำวันได้

บอกสาว ๆ กินอย่างไร ให้สุขภาพดี




เคยสงสัยตัวเองไหมว่า พฤติกรรมการบริโภคอาหารของตัวเองควรจะมีการแก้ไขไหม เป็นพฤติกรรมที่ควรจะทำหรือเปล่า ปัจจุบันคนไทย เรามีนิสัยการบริโภคที่ไม่ถูกเท่าที่ควรนัก ทั้งที่มีกระแสรักสุขภาพเพิ่มมากขึ้นทุกปี แต่กลับมีวิธีการกินที่ผิด ๆ เข้ามาแทนที่เสียนี่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะเริ่มเปลี่ยนตัวเองมาสู่วิธีการกินที่ถูกต้องก็ในเมื่อชีวิตนี้มีแค่ชีวิตเดียว เราก็ควรจะเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่ตัวเรา

พฤติกรรมและวินัยการบริโภคผิด ๆ

ถ้าให้พูดถึงวิธีการบริโภคที่ไม่ถูกต้อง สามารถกล่าวถึงได้หลายอย่าง บางอย่างก็เป็นสิ่งที่ไม่รู้ตัวและไม่ให้ความสำคัญ โดยเฉพาะบางอย่างเป็นสิ่งที่ใคร ๆ เขาก็ทำกัน

การเคี้ยวอาหารไม่ละเอียด สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นเรื่องเล็กกลับเป็นเรื่องที่ใหญ่อย่างคาดไม่ถึง เพราะจะทำให้ลำไส้และกระเพาะอาหารทำงานหนักขึ้น เหมือนเราใช้งานร่างกายหนักขึ้น วันหรือสองวันอาจจะไม่มีผลอะไรแต่อย่าลืมว่าเราต้องกินข้าวและเคี้ยวอาหารตลอดชีวิตของเรา

ติดนิสัยกินอาหารจุบจิบ เป็นอุปนิสัยการกินที่จะทำให้เกิดโรคอ้วน เพราะการหยิบของใกล้มือมากินตลอดเวลา โดยเฉพาะขนมขบเคี้ยวและของทอด โดยไม่คำนึงถึงไขมันและแคลอรีส่วนเกิน

ไม่กินอาหารเช้า จากชีวิตในสังคมเมืองที่ต้องเร่งรีบวิ่งตามเวลา บางครั้งการเตรียมอาหารเช้าจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก เมื่อไม่ได้รับประทานอาหารเช้าก็จะทำให้หงุดหงิดง่ายความจำไม่ดี ความรู้สึกเฉื่อยชา ไม่ว่องไว

เลือกรับประทาน อุปนิสัยการรับประทานของผู้คนสมัยนี้จะแสวงหาแต่สิ่งที่ชอบและพึงพอใจ กินอาหารปรุงแต่งรสชาติ ไม่กินผักผลไม้ รับประทานแต่เนื้อสัตว์ ทำให้ขาดวิตามินและแร่ธาตุบางอย่างที่จำเป็นกับร่างกาย ด้วยเหตุผลง่าย ๆ ที่ว่ากินตามใจปาก

กินอาหารไม่เป็นเวลา หากเป็นเมื่อก่อนการกินอาหารไม่เป็นเวลาอาจจะมีของแถมมาเป็นโรคกระเพาะอาหารเพียงเท่านั้น แต่ปัจจุบันกลับมีโรคกรดไหลย้อนเข้ามาให้ระแวงเพิ่มอีก กลายเป็น 2 โรคยอดฮิตในหมู่หนุ่มสาวสมัยนี้ไปเสียแล้ว

สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงอุปนิสัยการรับประทานเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สามารถให้ผลกระทบในด้านสุขภาพและร่างกายของเราได้ในระยะยาว ถ้าเราไม่คิดจะแก้ไข


เปลี่ยนการกินอย่างไรให้สุขภาพดี
เปลี่ยนการกินอย่างไรให้สุขภาพดี

บางครั้งการพยายามกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ ก็เป็นอะไรที่น่าเหนื่อยใจไม่ใช่น้อย เพราะข้อห้ามทั้งหลายที่กินนั่นไม่ได้กินนี่ไม่ดี ทำให้รู้สึกว่าชีวิตของเรามันดูยากขึ้น จนเราเลิกล้มความตั้งใจไปก่อนที่จะได้ทำจริง ๆ การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการกินง่าย ๆ ก็ช่วยเราให้สุขภาพดีได้โดยไม่ต้องซื้อหา

เริ่มวันใหม่ด้วยอาหารเช้า หากคุณไม่มีเวลาพอที่จะกินอาหารเช้ามื้อใหญ่ ลองมองหาอาหารที่สามารถหยิบมากินได้ง่าย ๆ อย่างโยเกิร์ตกับกล้วยน้ำว้าสุก ซึ่งกล้วยน้ำว้าเป็นแหล่งโปรตีน วิตามินเอ ซี บี 1 บี 2 บี 6 นอกจากจะได้ประโยชน์แล้วยังไม่อ้วนด้วย อาหารเช้าเป็นมื้ออาหารที่ทำให้ระบบย่อยอาหาร การดูดซึม และระบบเผาผลาญในร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงทำให้กินอาหารมื้ออื่น ๆ ได้น้อยลง

เปลี่ยนของจุบจิบจำพวกขนมขบเคี้ยวเป็นของที่มีประโยชน์ การห้ามกินของจุบจิบในระหว่างมื้อกลางวัน หรือการกินของว่าง ก่อนนอน หรือช่วงระหว่างดูละครเป็นไปได้ยาก เพราะนับได้ว่าเป็นอุปนิสัยที่เราทำไปโดยไม่รู้ตัว เราก็แทนที่ของเหล่านั้นด้วยผลไม้ที่มีกากใยสูง และมีวิตามินแทนดีกว่า เพราะผลการวิจัยเขาบอกไว้ว่าการกินหลายมื้อไม่ได้ทำให้อ้วน แต่เราจะอ้วนจากการที่ใน 1 วัน เรากินอาหารที่ไม่จำกัดแคลอรี กินเกินกว่าความสามารถในการเผาผลาญของร่างกาย

หันมากินมังสวิรัติบ้าง ตอนนี้กระแสการกินอาหารมังสวิรัติในวันเกิดของตัวเองกำลังเป็นที่นิยม โดยมีจุดเริ่มต้นจากความคิดในการทำบุญ ใน 1 อาทิตย์หรือ 1 เดือน เราอาจจะเลือก 1 วันที่เราจะกินอาหารมังสวิรัติขึ้นมาและตั้งใจทำให้ได้ การกินมังสวิรัติก็เหมือนกับการดีท็อกซ์ร่างกาย แถมยังได้ความสุขทางใจ สุขภาพจิตก็ดีขึ้น

เคี้ยวอาหารให้ช้าลง ทุกวันนี้เราคงไม่ได้สังเกตตัวเองว่าในการกินอาหาร 1 มื้อ เราใช้เวลารวดเร็วมาก ๆ แทนที่จะได้ดื่มต่ำกับรสชาติอาหาร กลับรีบเคี้ยวกลืน และกินให้ไว้ไว้ก่อน ซึ่งถ้าเราลองเปลี่ยนมาเคี้ยวอาหารให้ช้าลง เคี้ยวได้ละเอียดขึ้นจะช่วยทำให้อาหารดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้ง่าย กระเพาะไม่ต้องทำงานหนัก และยังช่วยให้จิตใจสงบและผ่อนคลายอีกด้วย

พยายามกินอาหารให้ได้ทุกหมวดหมู่ เราอาจจะไม่ชอบกินอาหารบางชนิด อย่างบางคนที่ไม่ชอบรสชาติของอาหารบางอย่าง เราไม่ต้องถึงขนาดอดทนกล้ำกลืนกินเข้าไป แต่ให้ไปหาอาหารชนิดอื่นที่มีคุณค่าใกล้เคียงกันมากันมากินก็ได้ เพราะแทนที่จะฝืนทนกินให้จิตใจเครียดและปฏิเสธ แทนที่สุขภาพจะดีขึ้นแต่กลับจะแย่ลงเสียมากกว่า

ดื่มน้ำสะอาดให้พอเพียง หากไม่มีเวลาดื่มระหว่างวัน แนะนำให้ลองดื่มน้ำเปล่าตอนตื่นนอนวันละ 1-2 แก้ว และก่อนนอนอีก 1-2 แก้ว ก็ได้เพราะตอนเช้าระดับความเข้มข้นของเลือดสูง ร่างกายเราจะรู้สึกว่าขาดน้ำ ก่อนนอนก็ควรจะดื่มสัก 1-2 แก้ว เพื่อให้น้ำไปชำระล้างสิ่งตกค้างในลำไส้และกระเพาะอาหาร

เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักการออกกำลังกาย ทั้งนี้แม้คุณจะกินอาหารที่ดีเพียงใด แต่การออกกำลังกายก็ยังเป็นยาวิเศษที่ช่วยชะลอการเกิดโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราไม่จำเป็นจะต้องออกไปวิ่ง หรือเข้ายิมทุกวัน แต่ใช้เวลาว่างระหว่างวันเพียงแค่ 10 นาที ก็สามารถออกกำลังกายง่าย ๆ ได้ หรือใช้บันไดในการขึ้นลงระหว่างชั้นให้มากขึ้นก็ได้

การตั้งมั่นตั้งใจทำสิ่งใหม่ ๆ เป็นเรื่องดี อย่างการที่อยากจะปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ แต่หากทำโดยตั้งอยู่ในพื้นฐานของความเคร่งเครียดในการผลักคันตัวเองมากเกินไป จะทำรู้สึกไม่มีความสุข ความพยายามจะไม่เป็นผล ดังนั้นการจะเปลี่ยนตัวเองนั้น หากค่อย ๆ เปลี่ยนสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำจนเป็นกิจวัตรนิสัย เชื่อแน่ว่าสุขภาพดี จิตใจสงบ ความรู้สึกดี ๆ จะเกิดขึ้นกับตัวเราแน่นอน

10 สุดยอดอาหารดีท๊อกซ์

1.กระเทียม
กระเทียมมีวิตามินซี ซึ่งช่วยส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันและตับ แต่ไม่ควรกินกระเทียมไปทั้งเม็ดเพราะมีเอ็มไซม์มากเกินไป ควรจะหั่นหรือซอยบางๆ ทิ้งไว้ 15 นาทีก่อนแล้วนำไปปรุง
2. น้ำมะนาว
เป็นแหล่งอาหารวิตามินซีสูง ช่วยขับสารพิษออกจากร่างกายและเผาผลาญไขมัน การดื่มน้ำมะนาว (แบบไม่ใส่น้ำตาล) ทุกเช้าจะช่วยกระตุ้นกระบวนการเผาผลาญในร่างกาย
3.ขิง
ขิงนอกจากจะเพิ่มรสชาติเผ็ดร้อนให้อาหารแล้วยังช่วยขับของเสียออกจากผิวหนังได้อีกด้วย ด้วยการนำขิงบดละเอียดพร้อมกับเกลืออาบน้ำลงในอ่างอาบน้ำร้อน หลังจากนั้นลงไปแช่ตัวให้นานเท่าที่ทำได้ เท่านี้จะเป็นการขับของเสียออกจากร่างกายได้อีกหนึ่งทาง
4. พืชใบเขียว
คลอโรฟิลล์จากพืชช่วยเรื่องการย่อยอาหาร ผลที่ตามมาคือร่างกายจะกำจัดของเสียได้ง่ายขึ้น ลองทานแบบสลัด ใส่ผักในซุป หรือจะผัดกับน้ำมันมะกอกแล้วแต่ตามเมนูที่ชอบ
5. ธัญญพืช
ข้าวโอ๊ตและขนมปังข้าวไรย์เป็นอาหารที่ทานกันตั้งนานแล้วแต่ถึงอย่างไร ธัญญพืชเหล่านนี้ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์มากด้วยเช่นกัน เพราะประกอบด้วยไพเบอร์ที่ดีต่อสุขภาพ
6. ชาเขียว
เรารู้กันดีอยู่ว่าการดื่มชาเขียวช่วยต่อต้านสารอนุมูลอิสระในร่างกาย นอกจากนี้สารคาเตชินที่มีอยู่ในชาเขียวยังช่วยเร่งการทำงานของตับและเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์เพื่อขจัดของเสียในร่างกาย
7. บีทรูท
ไฟเบอร์จากบีทรูทจะเพิ่มการผลิตเอ็มไซม์ต่อต้านอนุมูลอิสระในตับซึ่งจะช่วยตับและถุงน้ำดีกำจัดสารพิษอื่นๆ ออกจากร่างกาย
8. ผักกาด
มีคุณสมบัติช่วยทำความสะอาดตับ ลองทานน้ำซุปใส่ผักกาดหรือทานเป็นสลัดกับแอปเปิ้ลเพิ่มความกรุบกรอบให้รสชาติอาหาร
9. ผลอาร์ติโชค
ช่วยผลิตน้ำดี ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายย่อยอาหารเร็วขึ้นและดูดซึมวิตามินได้ง่ายขึ้น นอกจากจะนำใบมาปรุงเป็นอาหารต่างๆ แล้ว ลองทำชาอาร์ติโชคง่ายๆ ด้วยการนำใบวางไว้ในถ้วยแล้วเทน้ำร้อนผสมกับน้ำผึ้ง
10. ผลไม้สด
ไม่ว่าจะเป็นผลไม้ตระกูลเบอรี่ต่างๆ มะม่วง แอปเปิ้ลหรือผักสด ต่างอุดมด้วยไฟเบอร์ สารต้านอนุมูลอิสระ และวิตามิน ซึ่งจะช่วยให้ขับของเสียออกจากร่างกายเช่นกัน

หมอเตือน! หยุดกินยาคุมกลางแผงอันตราย

สูตินรีแพทย์ศิริราชแนะพบแพทย์ก่อนเริ่มคุมกำเนิดเพื่อรับการตรวจร่างกายและคำแนะนำ ตัดสินใจเลือกวิธีคุมกำเนิดที่เหมาะสมพบ “ยาเม็ดคุมกำเนิด” ครองแชมป์ยอดนิยมเตือนอย่าหยุดกินยาคุมกลางแผงเหมือนหยุดม้ากลางศึก เสี่ยงมีผลข้างเคียงเลือดออกกะปริบกะปรอย ปวดศีรษะ หญิงอ้วนไม่ควรกินยาคุมให้เลือกใส่ห่วงหรือวิธีอื่น พบวัยรุ่นนิยมแผ่นแปะคุมกำเนิด นพ.มานพชัย ธรรมคันโธ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า ก่อนที่จะเริ่มคุมกำเนิดครั้งแรกควรพบสูตินรีแพทย์หรือพยาบาลที่เชี่ยวชาญด้านอนามัยเจริญพันธุ์ เพื่อรับคำปรึกษาเกี่ยวกับวิธีคุมกำเนิดอย่างเหมาะสม เนื่องจากร่างกายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ควรได้รับการตรวจร่างกาย ตรวจภายใน ตรวจเลือดว่าเหมาะสมในการเลือกวิธีคุมกำเนิดวิธีใด ซึ่งโดยทั่วไปการคุมกำเนิดแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ แบบธรรมชาติ เช่น การหลั่งภายนอก การนับวันปลอดภัย แต่วิธีธรรมชาติมีประสิทธิภาพไม่สูงนัก อีกวิธีหนึ่ง คือ ใช้เทคโนโลยีทางการแพทย์เข้าช่วย เช่น ยากิน ยาฝัง ใส่ห่วงอนามัย แผ่นแปะผิวหนัง การทำหมัน ซึ่งแต่ละวิธีมีข้อดีข้อเด่นแตกต่างกัน นพ.มานพชัย กล่าวว่า แม้วิธีคุมกำเนิดส่วนใหญ่จะเป็นภาระหน้าที่ของฝ่ายหญิง แต่พบว่าฝ่ายชายมีบทบาทสำคัญในผลสำเร็จของการคุมกำเนิด ซึ่งทั้งสองฝ่ายต้องปรึกษากันก่อนว่ามีลูกพอหรือยัง หรือชะลอการมีลูกเอาไว้ก่อน ถ้าอายุมากมีลูกเพียงพอแล้วเลือกการทำหมันถาวรทั้งชายและหญิงก็ได้ สิ่งสำคัญ คือ ให้เลือกวิธีที่เหมาะสมกับตัวเอง เช่น ยาเม็ดคุมกำเนิด ต้องรับประทานยาตรงเวลา ใส่ห่วงอนามัยต้องตรวจเช็กสายห่วงต่อเนื่อง การใช้แผ่นแปะต้องตรงเวลา ดังนั้น ทั้งชายหญิงถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน บทบาทของฝ่ายชายจึงมีส่วนมากในการคุมกำเนิดให้มีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง “วิธีที่นิยมที่สุด คือ การรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะสะดวกควบคุมตัวเองได้ หากจะเลิกรับประทานก็หยุดได้เอง แต่มีข้อแนะนำคือ ให้เลิกเมื่อหมดแผงแล้ว อย่าหยุดม้ากลางศึก อย่าหยุดกลางแผง อาจมีปัญหาเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ การเลือกยี่ห้อเข้าทำนองลางเนื้อชอบลางยา บ้านเรามียาคุมกำเนิดชนิดเม็ดมากกว่า 70 ยี่ห้อ ในท้องตลาด คุณภาพแตกต่างกัน มีทั้งผลิตในประเทศ และนำเข้าจากต่างประเทศ ข้อสำคัญ ต้องกินยาตรงเวลาถูกต้อง ยาแต่ละเม็ดควบคุมได้แค่ 24 ชั่วโมง ถ้าลืมกินไม่ตรงเวลา คลาดเคลื่อนมีโอกาสตั้งครรภ์ไม่พึงประสงค์มีผลข้างเคียง” นพ.มานพชัย กล่าว สำหรับข้อห้ามในการรับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด นพ.มานพชัย กล่าวว่า หญิงที่มีน้ำหนักมาก ตั้งแต่ 70-80 กิโลกรัม สูบบุหรี่ อายุมากกว่า 35 ปี ตับอักเสบเรื้อรัง เป็นไวรัสตับอักเสบบีชนิดรุนแรง ไม่แนะนำให้กินยาเม็ดคุมกำเนิด เพราะเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตันภาวะหัวใจขาดเลือด ดังนั้น จึงควรพบแพทย์ก่อนเริ่มต้นรับประทานยาคุมกำเนิด เพื่อดูว่ายายี่ห้อนี้มีปริมาณฮอร์โมนเหมาะสมกับเราหรือไม่ มีข้อห้ามหรือไม่ ถ้ามีข้อห้ามเหล่านี้อาจต้องเลือกวิธีใส่ห่วงอนามัยแทน โดยใส่ห่วงอนามัยใส่ในโพรงมดลูก มีทั้งชนิดห่วงทองแดง ไม่ต้องกลัวฟ้าผ่าเพราะร่างกายเป็นฉนวนป้องกันอยู่แล้ว ส่วนผู้ที่ปวดท้องเวลามีประจำเดือน และเลือดประจำเดือนมากไม่แนะนำให้ใส่ห่วง เพราะมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลข้างเคียงไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตาม ห่วงอนามัยที่นิยม คือ ห่วงเคลือบฮอร์โมนโปรเจสเตอโรน สามารถใช้กับหญิงที่มีประจำเดือนมาก อายุเกิน 40 ปี สำหรับแผ่นแปะคุมกำเนิดนั้น 1 แผ่นแปะได้นาน 1 สัปดาห์ ต้องแปะต่อเนื่อง 3 สัปดาห์ เว้น 1 สัปดาห์ เพื่อให้มีรอบเดือน แปะตรงส่วนไหนของร่างกายก็ได้ยกเว้นที่หัวนม อาจเป็นการกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนมากเกินไป “การคุมกำเนิดแต่ละวิธีมีข้อเด่น ข้อด้อยต่างกัน ช่วง 3 เดือนแรกต้องใจเย็นไม่ว่าจะเลือกวิธีใดจะมีผลกระทบข้างเคียงไม่มากก็น้อยขึ้นกับแต่ละบุคคลบางคนน้ำหนักเพิ่มเล็กน้อย ปวดหัวเล็กน้อย คลื่นไส้อาเจียน หลังจาก 3 เดือนร่างกายจะปรับตัวดีขึ้น ดังนั้น 3 เดือนแรกต้องขยันพบแพทย์จะได้ตรวจภายใน ตรวจมะเร็งปากมดลูก หากพร้อมมีลูกแพทย์จะให้คำปรึกษาหากไม่ต้องการมีลูกแล้วจะได้แนะนำวิธีคุมกำเนิดแบบถาวร” นพ.มานพชัย กล่าว


ที่มา :: ผู้จัดการออนไลน์

ทำผม ออกงาน ง่ายๆ สไตล์คุณ


วันนี้มีทรงผมสำหรับสาวๆ women to womem มาฝากกัน



ออกงานทั้งที่มาแต่งผมกันหน่อย



ทำเองเนี่ยแหละง่ายๆ ประหยัดเงินในกระเป๋าอีกต่างหาก



ลองมาดูวิธีทำกันซิ..ง่ายสุดๆ

ขั้นตอนที่ 1
ใช้สเปรย์ฉีดเคลือบผม เพื่อให้เกลียวอยู่ทรงมากขึ้น ฉีดจากกลางจนถึงปลายผม แล้วใช้นิ้


ขั้นตอนที่ 2
จากนั้นใช้โรลม้วนผมแบ่งผมเป็นช่อๆ เพื่อให้ผมเป็นลอน ขณะเคลือบผมใช้ไดร์เป่าผมในการดัดอีกที ก่อนที่จะเอาโรลออก 5 นาที

ขั้นตอนที่ 3
เมื่อเอาโรลออกแล้ว แบ่งผมเป็นครึ่งศีรษะ แล้วใช้ที่คาดผมแบ่งผมเอาไว้

ขั้นตอนที่ 4
รวบผมด้านบนมาแล้วบิดไปทางขวา หมุนไปนิดนึงแล้วใช้กิ๊บหนีบไปในทิศทางเดียวกับผม


ขั้นตอนที่ 5
เก็บผมจากซ้ายไปขวาหมุนผมเป็นเกลียวแล้วใช้กิ๊บหนีบอีกที ให้ปลายผมชี้ไปทางใบหู


ขั้นตอนที่ 6
จัดผมให้เป็นลอนสวย โดยใช้มือเพื่อคลายผมให้ม้วนเป็นลอนแบบธรรมชาติ














ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด





ทุเรียน กินอย่างไรไม่อ้วน เผยช่วยชำระล้างขยะในลำไส้ แถมเป็นยาถ่ายพยาธิชั้นยอด
คงสงสัยกันสิว่า กินกันอย่างไรล่ะที่ไม่ให้อ้วน ตำราไทยบอกไว้ให้กินเป็นยาถ่ายพยาธิปฏิบัติไม่ยากเลย ง่ายๆ
เพียงแค่ตื่นนอนตอนเช้าๆ ยามรุ่งอรุณ ก็ราวๆ ประมาณ 05.00 น. หลังจากล้างหน้า แปรงฟัน เรียบร้อย
เริ่มกินทุเรียนได้ทันที กินพอประมาณ อาจสักครึ่งลูกย่อมๆ หรืออาจมากน้อยกว่านั้น ตามน้ำหนัก
หรือความอ้วน ความผอม คือ อ้วนก็มากหน่อย ผอมก็น้อยลง ไม่ใช่กินเพื่ออิ่มแต่กินเป็นยา แล้วดื่มน้ำอุ่น
ตามไปมากๆควรกินสองวันติดต่อกันและงดอาหารในทั้งสองเช้านั้น ความร้อนในสารกำมะถันธรรมชาติ
และกากใย จากพูทุเรียน จะออกฤทธิ์ชำระล้างขยะในลำไส้ออกได้อย่างเกลี้ยงเกลา รวมทั้งเป็นยาถ่ายพยาธิ
ต่างๆ อีกทั้งยังเป็นยาถ่ายในผู้ป่วยน้ำเหลืองเสีย ซึ่งมักเกิดแผลจากแมลงกัดอยู่เสมอทุเรียนให้ประโยชน์
คณานับที่แพทย์แผนไทย มีอาทิเนื้อสีเหลือง รสหวานร้อน ทำให้เกิดความร้อน แก้โรคผิวหนัง ทำให้ฝี
หนอง แห้ง เนื้อทุเรียนมีฤทธิ์ขับพยาธิเปลือกหนาม รสเฝื่อน สับแช่ในน้ำปูนใสใช้ชะล้างแผลที่เกิดจาก
น้ำเหลืองเสี ย แผลพุพอง เผาทำถ่าน บดจนเป็นผง คลุกในน้ำมันมะพร้าว หรือน้ำมันงา ลดความบวมพอง
จากคางทูม และเผาเอาควันไล่ยุงและแมลงใบทุเรียน รสเย็นและเฝื่อน ใช้ต้มน้ำอาบแก้ไข้ แก้ดีซ่านและเป็น
ส่วนผสมในยาขับพยาธิรากจากต้น ตัดเป็นข้อๆ ต้มให้เดือด ดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วง
นอกจากทุเรียนจะให้คุณอเนกอนันต์

ที่มาจาก : heyhaparty

10 วิธี การกินอย่างฉลาด




ในแต่ละวันเราจำเป็นต้องรับประทานอาหารมากมาย มีคำแนะนำจากหลายสำนักให้กินนั่น ห้ามกินนี่จนไม่รู้จะเชื่อใครดี วันนี้เราจึงมีเคล็ดลับง่ายๆ ของการกินให้ได้ประโยชน์สูงสุดต่อสุขภาพอย่างเต็มที่มาฝาก

1. กินอาหารเช้า เป็นพฤติกรรมพื้นฐานที่ส่งผลต่อจิตใจ และพลังชีวิตของคุณไปตลอดทั้งวัน และช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเส้นเลือด ลดอัตราเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ช่วยเผาผลาญพลังงานให้ดีขึ้น ทำให้คุณกินอาหารในมื้ออื่นๆ น้อยลง

2. เปลี่ยนน้ำมันที่ใช้ปรุงอาหาร ยอมจ่ายแพงสักนิดใช้น้ำมันมะกอก หรือน้ำมันดอกทานตะวัน ปรุงอาหารแทนน้ำมันแบบเดิมที่เคยใช้ เพราะเป็นไขมันที่ไม่เป็นโทษต่อร่างกาย และมีกรดไขมันอิ่มตัวที่เป็นประโยชน์ ช่วยลดไขมันในเส้นเลือดได้เป็นอย่างดี

3. ดื่มน้ำให้มากขึ้น คนเราควรดื่มน้ำวันละ 2 ลิตรเป็นอย่างน้อย (ยกเว้นในรายที่ไตทำงานผิดปกติ) เพื่อหล่อเลี้ยงเซลล์ในร่างกาย ฟื้นฟูระบบขับถ่าย รักษาระดับความเข้มข้นของเลือด จะทำให้สดชื่นตลอดวันเลยทีเดียว

4. เสริมสร้างแคลเซียมให้กับกระดูก ด้วยการดื่มนม กินปลาตัวเล็กทั้งตัวทั้งก้าง เต้าหู้ ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ผักใบเขียว เพราะแคลเซียมเป็นสิ่งจำเป็นที่จะเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและกระดูก ทำให้ระบบประสาททำงานได้เต็มประสิทธิภาพ

5. บอกลาขนมและของกินจุบจิบ ตัดของโปรดประเภทโดนัท คุกกี้ เค้กหน้าครีมหนานุ่ม ออกจากชีวิตบ้าง แล้วหันมากินผลไม้เป็นของว่างแทน วิตามิน และกากใยในผลไม้ มีประโยชน์กว่าไขมัน และน้ำตาลจากขนมหวานเป็นไหนๆ

6. สร้างความคุ้นเคยกับการกินธัญพืชและข้าวกล้อง เมล็ดทานตะวัน ข้าวฟ่างและลูกเดือย รวมทั้งข้าวกล้องที่เคยคิดว่าเป็นอาหารนก ได้มีการศึกษาและค้นคว้าแล้ว พบว่า ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจถึง 1 ใน 3 เลยทีเดียว เพราะอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ที่ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และควบคุมน้ำตาลในเลือดให้สมดุล

7. จัดน้ำชาให้ตัวเอง ทั้งชาดำ ชาเขียว ชาอู่ล่ง หรือเอิร์ลเกรย์ ล้วนแล้วแต่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ การดื่มชาวันละ 1 ถึง 3 แก้ว ช่วยลดอัตราเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหารถึง 30%

8. กินให้ครบทุกสิ่งที่ธรรมชาติมี คุณต้องพยายามรับประทานผักผลไม้ต่างๆ ให้หลากสี เป็นต้นว่า สีแดงมะเขือเทศ สีม่วงองุ่น สีเขียวบล็อกเคอรี สีส้มแครอท อย่ายึดติดอยู่กับการกินอะไรเพียงอย่างเดียว เพราะพืชต่างสีกัน มีสารอาหารต่างชนิดกัน แถมยังเป็นการเพิ่มสีสันการกินให้กับคุณด้วย

9. เปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนรักปลา การกินปลาอย่างน้อยอาทิตย์ละครั้ง ได้ทั้งความฉลาดและแข็งแรง เพราะปลามีกรดไขมันโอเมก้า 3 และโปรตีน ที่ช่วยควบคุมการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ และบำรุงเซลล์สมอง ทั้งยังมีไขมันน้อย อร่อย ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่ต้องการหุ่นเพรียวลมเป็นที่สุด

10. กินถั่วให้เป็นนิสัย ทำให้ถั่วเป็นส่วนหนึ่งของอาหารที่คุณต้องกินทุกวัน วันละสัก 2 ช้อน ไม่ว่าจะเป็นของหวานของคาว หรือว่าของว่างก็ทั้งโปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุสำคัญๆ หลายชนิด ต่างพากันไปชุมนุมอยู่ในถั่วเหล่านี้ ควรกินถั่วอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ควรกินครั้งละมากๆ เพราะมีแคลอรี่สูง อาจทำให้อ้วนได้

ถ้าปฏิบัติให้ได้ครบทุกข้อตามคำแนะนำข้างต้นนี้จนเป็นนิสัย สุขภาพดีๆ จะไปไหนเสีย !!


พริกขี้หนูสด ลดการเสี่ยงโรคหัวใจ




โรคหัวใจและหลอดเลือดเป็นสาเหตุของการตายเป็นอันดับหนึ่งของประเทศไทย และหลายประเทศทั่วโลกโดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากพฤติกรรมการกินที่ไม่เหมาะสม เช่น การกินอาหารที่มีไขมันสูง เช่น เนื้อสัตว์ติดมัน อาการทอด ผัดที่ใช้น้ำมันมากๆ ฯลฯ แต่กินอาหารพวกผัก ผลไม้ ธัญพืช ที่มีเส้นใยน้อยเกินไป

ทั้งนี้รายงานการวิจัยพบว่าอาหารไทยเป็นอาหารสุขภาพ เพราะให้พลังงานและสารอาหารครบถ้วนและเหมาะสม นอกจากนี้ยังมีส่วนประกอบของสมุนไพรต่างๆ ซึ่งมีผลการศึกษาว่าสามารถช่วยลดการเกิดโรคเรื้อรังต่างๆ ได้ เช่น การลดไขมันในเลือด ป้องกันการเกิดอนุมูลอิสระ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพริกซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญในอาหารไทยที่ช่วยเพิ่มลดชาติร้อนแรง ส่วนประกอบที่สำคัญที่ทำให้เกิดความเผ็ดของพริกก็คือ “ แคปไซซิน ” ซึ่งนอกจากจะให้ความเผ็ดร้อนแล้วยังมีคุณสมบัติทางเภสัชวิทยา ช่วยบรรเทาให้อาการปวดกล้ามเนื้อและข้อ เพิ่มการเคลื่อนไหวของทางเดินอาหาร และที่น่าสนใจคือผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังพบว่าคนไทยที่กินพริกเป็นประจำมีอุบัติการณ์เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือดน้อยกว่าคนในประเทศทางตะวันตก
ด้วยเหตุนี้นางสาวพัชราณี ไชยทา นักศึกษาหลักสูตรวิทยาศาสตร์ดุษฎีบัณฑิต สาขาโภชนศาสตร์ (ซึ่งเป็นหลักสูตรร่วมระหว่างคณะแพทศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี และสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล) ได้ทำวิทยานิพนธ์ เรื่อง “ ผลของพริกขี้หนูต่อปัจจัยเสี่ยงของการเกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด” ภายใต้การดูแลของ ศ.นพ. สุรัตน์ โคมินทร์ หัวหน้าฝ่ายโภชนวิทยาและชีวเคมีทางการแพทย์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี เป็นผู้ควบคุมวิทยานิพนธ์
วิทยานิพนธ์ชิ้นนี้ได้ทำการศึกษาหญิงไทยจำนวน 50 คน ที่มีคุณสมบัติดังนี้คือ ระดับไขมันในเลือดสูง แต่มีสุขภาพโดยทั่วไปดี อายุระหว่าง 45 – 64 ปี และหมดประจำเดือนแล้ว แต่ไม่มีอาการของโรคเรื้อรังใดๆ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคตับ โรคไตโรคกระเพาะอาหาร ไม่ได้รับประทานยาเป็นประจำ ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มเหล้า ไม่ดื่มกาแฟมากกว่า 2 แก้วต่อวัน และไม่กินพริกมากกว่า 10 กรัมต่อวัน จากการศึกษาหญิงกลุ่มนี้พบว่าระยะการกินพริกขี้หนูมีผลดีต่อปัจจัยต่างๆ ที่มีผลต่อปัจจัยเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่ การลดระดับน้ำตาลกลูโคส เพิ่มอัตราเผาผลาญของร่างกาย มีแนวโน้มชะลอแรจับกลุ่มของเกล็ดเลือด และเพิ่มการละลายลิ่มเลือดโดยมีผลภายใน 30 นาทีหลังจากาการกินพริกขี้หนูสด
จึงนับว่าคนไทยโชคดีแล้วที่อาหารส่วนใหญ่อุดมไปด้วยพริก...แต่ควรกินแต่พอประมาณโดยเฉพาะคนที่เป็นโรคกระเพาะลำไส้

กลูตาไธโอน" ช่วยให้ผิวขาวขึ้นได้จริงหรือ?

ข้อความเหล่านี้ คือโฆษณาชวนเชื่อที่มีอยู่จริงและมีอยู่มากในเว็บไซต์ ใบปลิว ที่ต่างก็อวดอ้างสรรพคุณสาร "กลูตาไธโอน" หรือที่วัยรุ่น ชาวมหาวิทยาลัยเรียกสั้นๆ ว่า "สารขาว" ว่ามีคุณสมบัติทำให้ผิวขาวนวลผ่องเป็นยองใยเหมือนดารา ทั้งๆ ที่ความจริงแล้ว สารชนิดนี้ถูกคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ

กลูตาไธโอน (Glutathione) เป็นสารประเภท Tripeptide ที่ประกอบด้วย กรดอะมิโน 3 ชนิด ได้แก่ Cysteine, Glycine, Glutamic acid กลูตาไธโอนเป็นสารแอนติออกซิแดนท์ชนิดละลายน้ำได้ที่สำคัญที่ร่างกายสร้าง ขึ้น และเป็นพื้นฐานสำหรับสารแอนติออกซิแดนท์อื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมทั้งกลูตาไธโอน เปอร์ออกซิเดส สารประกอบกลูตาไธโอน ช่วยปกป้องร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระ ช่วยกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน และช่วยตับในการย่อยสลายสารพิษ ร่างกายของเราจะผลิตมากขึ้นหากได้รับสารพิษเข้าไป เช่น ยาฆ่าแมลง สารเคมีต่างๆ ที่ปนเปื้อนในอาหาร น้ำดื่ม สารพิษเหล่านี้จะทำลายเซลล์และระบบของร่างกาย

ความจริงแล้ว สารชนิดนี้ถูกคิดค้นเพื่อใช้รักษาโรคมะเร็งตับ แต่ปัจจุบันมีกลุ่มคลินิกเสริมความงาม อ้างว่าเป็นสารที่ใช้ผสมกับวิตามินซี ฉีดทำดีท็อกซ์ผิวขาว ทำให้มีการนำไปใช้เป็นอาหารผิวเพื่อผิวเนียนขาวใสอย่างแพร่หลายและกว้างขวาง ซึ่งเป็นที่นิยมของดารา นางแบบ นายแบบ

กลูตาไธโอนชนิดฉีด

หน้าที่หลักของกลูตาไธโอนที่เด่นมีอยู่ 3 ประการ คือ

1. Detoxification : กลูตาไธโอนช่วยสร้างเอ็นไซม์ชนิดต่างๆ ในร่างกาย โดยเฉพาะ Glutathione-S-transferase ที่ช่วยในการกำจัดพิษออกจากร่างกายโดยไปเปลี่ยนสารพิษชนิดไม่ละลายในน้ำ (ละลายในน้ำมัน) เช่น พวกโลหะหนัก สารระเหย ยาฆ่าแมลง แม้แต่ยาบางชนิดให้เป็นสารที่ละลายน้ำได้ดีขึ้น และง่ายต่อการกำจัดออกจากร่างกาย นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันตับจากการถูกทำลายโดยแอลกอฮอล์ (สุรา) สารพิษจากบุหรี่ ยาพาราเซตามอลเกินขนาด

2. Antioxidant : กลูตาไธโอนมีคุณสมบัติเป็นสารต้านปฏิกิริยาอ๊อกซิเดชั่น (Antioxidant) ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ป้องกันความเสื่อมหรือความแก่ของเซลล์ (aging) และการเกิดโรคต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ เส้นเลือดตีบ ต้อกระจก เป็นต้น

3. Immune Enhancer : ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย โดยกระตุ้นการทำงานของเอ็นไซม์หลายชนิดเพื่อให้ร่างกายต่อต้านสิ่งแปลกปลอม รวมถึงเชื้อแบคทีเรียและไวรัส นอกจากนี้ กลูตาไธโอนยังช่วยสร้างและซ่อมแซม DNA สร้างโปรตีน และ Prostaglandin สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงที่ต้องการให้ผิวเนียน ใส ขาวกระจ่าง เปล่งปลั่ง (เป็นเหตุผลที่เธอเสริมกลูตาไธโอนมากที่สุด)

โดยปกติ แล้วร่างกายเราจะไม่ขาดกลูตาไธโอน นอกเสียจากจะเป็นโรคบางชนิดที่ทำให้เกิดความต้องการสารตัวนี้มากขึ้น หรือโรคที่ต้านการสร้าง Glutathione โรคหรืออาการบางชนิดที่เกี่ยวข้องกับการขาดสารนี้หรือต้องการสารนี้ในปริมาณ เพิ่มขึ้น ได้แก่ โรคตับ เบาหวาน โรคความดัน ต้อหิน มะเร็ง เอดส์ ฯลฯ ในผู้ที่สูบบุหรี่จัดจะพบว่ามีระดับกลูตาไธโอนในเลือดต่ำ เนื่องจากอัตราในการใช้กลูตาไธโอนเพิ่มขึ้น

พบสารชนิดนี้ได้ในพืชผักชนิดต่างๆ ผลไม้ทั่วไปและเนื้อสัตว์ แต่จะพบมากในหน่อไม้ฝรั่ง อะโวกาโด วอลนัท นม ไข่ สตรอเบอร์รี มะเขือเทศ ผักบรอคโคลี ส้มเกรปฟรุต และผักโขม ปัจจุบันกลูตาไธโอนมีวางจำหน่ายในหลายรูปแบบ เช่น ชนิดเม็ดหรือแคปซูล ชนิดพ่น ชนิดฉีดเข้าเส้นและฉีดเข้ากล้ามเนื้อ

ในปัจจุบันยังไม่มีรายงานผลข้างเคียงใดๆ และไม่มีรายงานความเป็นพิษ ไม่ว่าจะเป็นการใช้ในระยะสั้น หรือระยะยาว ระดับความปลอดภัยจัดเป็น "อาหารเสริม" ไม่ใช่ "สมุนไพร" การผลิตโดยทั่วไปผ่านกระบวนการสังเคราะห์ ผลข้างเคียงที่มีรายงานคือ การกินปริมาณสูงติดต่อกันจะทำให้ผิวขาวใสเร็วขึ้น


ขอขอบคุณข้อมูลดีๆ จากMy firstbrain
ที่มา : วิชาการดอทคอม